กล้องวงจรปิดพบภาพชัดเจน 6 ตำรวจกลุ่มช่วยเหลือ “ สารวัตรแบงก์ “ กับ “รองวศิน“ ทั้งนี้พบ 1 ใน 6 ตำรวจ มีพฤติกรรมทั้งช่วยสารวัตรแบงก์ และยังกลับมาช่วยกำนันนก
ความคืบหน้าคดี “ กำนันนก “ ที่คาดว่าวันนี้ชุดคลี่คลายคดีจะมีการพิจารณาแจ้งข้อหาและออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติม มีรายงานทางการสืบสวน พบว่า ตำรวจที่อยู่ในงานเลี้ยงบ้านกำนันนก เมื่อคืนวันที่ 6 กันยายน 2566 และให้การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บกับผู้เสียชีวิต ตามที่ปรากฎในหลักฐานกล้องวงจรปิด แบ่งเป็นตำรวจที่ช่วยเหลือพันตำรวจตรีศิวกร สายบัว (สารวัตรแบงค์ หรือ สารวัตรสิว) ประกอบด้วย ดาบตำรวจชนาณัฐ วุฑฒยากร หรือ ดอลล่าร์ ผบ.หมู่ บก.ทล., ดาบตำรวจสราวุฒิ เชียงทอง ผู้บังคับหมู่ สถานีตำรวจทางหลวง 1 กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจทางหลวง ซึ่งเป็นคนขับรถของ ” ผู้กำกับเบิ้ม“ และเป็นคนที่มือเปื้อนเลือดตามภาพวงจรปิดที่โรงพยาบาล, จ่าสิบตำรวจเมทิศกร พันสิจันทร์ ผู้บังคับหมู่ สถานีตำรวจทางหลวง 1 กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจทางหลวง, พันตำรวจโทณรงค์ พิทักษ์ฉนวน สารวัตรฝ่ายอำนวยการ กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจทางหลวง และจ่าสิบตำรวจทศพล แซ่อึ้ง ผู้บังคับหมู่ สถานีตำรวจทางหลวง 1 กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจทางหลวง
ขณะที่ในส่วนของกลุ่มตำรวจที่ช่วยเหลือพันตำรวจโทวศิน พันปี หรือ “ รองวศิน “ รองผู้กำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจทางหลวง ผู้บาดเจ็บ ประกอบด้วย พันตำรวจโทภทร วรญาวิสุทธิ์ สารวัตรสืบสวนสภ.สระยายโสม จังหวัดสุพรรณบุรี, พันตำรวจโทณรงค์ พิทักษ์ฉนวน สารวัตรฝ่ายอำนวยการ กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจทางหลวง, ดาบตำรวจสราวุฒิ เชียงทอง ผู้บังคับหมู่ สถานีตำรวจทางหลวง 1 กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจทางหลวง และร้อยตำรวจเอกจตุรวิทย์ ชวาลเกียรติธนา รองสารวัตรปราบปราม สภ.เมืองนครปฐม
โดยจากการตรวจสอบหลักฐานกล้องวงจรปิด พบพฤติกรรมของตำรวจแต่ละนายชัดเจน ว่าใครช่วยเหลือ “ สารวัตรแบงก์ “ กับ “ รองวศิน “ ผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตอย่างไรบ้าง ซึ่งในกลุ่มนี้จะไม่ถูกแจ้งข้อหาดำเนินคดี มีเพียงร้อยตำรวจเอกจตุรวิทย์ ที่จะถูกแจ้งข้อกล่าวหา เพราะจากหลักฐานพบว่า หลังให้การช่วยเหลือ “ รองวศิน “ แล้ว ได้มีการขี่รถมอเตอร์ไซค์สายตรวจ นำขบวนรถ “ กำนันนก “ กับพวก และปิดทางแยกเพื่ออำนวยความสะดวกให้ขบวนรถ “ กำนันนก “ กับพวก หลบหนีออกจากที่เกิดเหตุ
สำหรับตำรวจในงานเลี้ยงบ้านกำนันนก ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มนี้ คาดว่า จะถูกแจ้งความดำเนินคดีทั้งหมด ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 และบางรายจะถูกแจ้งข้อหาให้การเท็จด้วย